ในปัจจุบัน มีความต้องการใช้งาน IPv6 (Internet Protocol version 6) ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดของ Internet Protocol จำนวนมากขึ้นด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทั้งในเชิงเทคโนโลยี ในเชิงของการพัฒนา Application
การปรับปรุงที่ชัดเจนของ IPv6 คือความยาวของ IP Address เปลี่ยนจาก 32 บิต เป็น 128 บิตสามารถที่จะรองรับการใช้งานได้มากถึง 3.4×1038 ซึ่งการขยายดังกล่าวก็เพื่อรองรับการขยายตัวของอินเทอร์เน็ต เริ่มจาก Internet Protocal Next Generation (IPng) Model ไม่ใช่เพียงแต่ขนาดของ IP Address ที่มีจำนวนมหาศาลเท่านั้น แต่ IPv6 ได้ถูกยกระดับ Security เพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่การปรับปรุง รูปแบบ IP Header , การทำงานของ IP Security (IPSec) , Quality of Service (QoS) และ Stateless address autoconfiguration (SLAAC)
IPv6 กำหนดกฎในการระบุตำแหน่งเป็น 3 ประเภท คือ
- Unicast ใช้ติดต่อกันแบบ one-to-one จากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่ง
- Anycast ใช้ติดต่อกันแบบ one-to-one-of-many จะมีสิ่งที่เหมือนกันกับ Multicasting คือมีแบ่งเป็นกลุ่มที่เรียกว่า set แต่ละ set จะถูกก าหนดให้ใช้ Anycast Address ข้อแตกต่างของ Anycast กับ Multicast ก็คือเมื่อเราส่งข้อมูลไปยัง Anycast Address เครื่องใด เครื่องหนึ่งใน set ให้ได้รับข้อมูลของเรา จะเป็นเครื่องที่อยู่ใกล้เราที่สุด โดยตัวอย่างการใช้ Anycast Address ก็อย่างเช่น Router ส่งข้อมูล Routing Information ไปยัง Router ใกล้เคียง
- Multicast ใช้ติดต่อกันแบบ one-to-many ใช้ในการ Routing แบบ Multicasting (ถูกใช้ในกลุ่มของ Application ที่เป็น Multicast ด้วยกัน เช่น ใน Routing Protocol พวก RIPv2, OSPF) ใน Multicasting เครื่องแต่ละเครื่องจะถูกก าหนดให้อยู่ใน Group (1 เครื่องอาจจะอยู่ได้มากกว่า 1 Group) แต่ละ Group จะมี Multicast Address เป็น ตัวก าหนด เครื่องที่มี Multicast Address เดียวกันก็จะหมายความว่าอยู่ใน Group เดียวกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราส่งข้อมูลไปยัง Multicast Address เครื่องทุกเครื่องใน Group นั้นก็จะได้รับ ข้อมูลของเรา การท า Multicasting ท าให้ลดความซ้ าซ้อนในการส่งข้อมูลไปหาเครื่องหลายๆ เครื่อง