คงจะได้ข่าวกันมาสักพักหนึ่งแล้วนะครับ กับกระแสการปรับราคาซอฟต์แวร์ในกลุ่มของ Microsoft Volume Licensing โดย Microsoft Corporation ที่จะมีผลในเดือน ตุลาคม 2561 นี้ อ้างอิงจาก https://www.microsoft.com/en-us/Licensing/campaigns/modern-commerce.aspx
ทาง Microsoft เองเรียกแนวทางการปรับนี้ว่า Modern Commerce ที่สื่อความถึงการปรับเพื่อให้สอดคล้องกันในทุกช่องทางการสั่งซื้อ และการนำเสนอทางเลือกในการซื้อบนพื้นฐานของ Solution-based มากกว่าจะพิจารณาที่ความถูกความแพงหรือ Price-based ของแต่ละซอฟต์แวร์ที่จะซื้อแยกส่วนแยกวาระกันนั่นเองครับ
ปัจจัยในการปรับระดับราคานี้ก็คือ เพื่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันให้พาร์ทเนอร์ต่างๆ ทั่วโลกนำเสนอบริการเสริมที่หนักแน่นมากขึ้นกว่าเดิม และลดกระแสสงครามราคาในระดับ Local นั่นเองครับ
และในอนาคตไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ ระบบการสั่งซื้อในฝั่งของ Volume Licensing เองน่าจะมีระบบที่เป็น Single Portal มากขึ้น และเปิดช่องทางเชื่อมต่อกับระบบ local billing ของพาร์ทเนอร์เพื่อออกใบกำกับภาษีได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้นด้วยครับ
ในบทความนี้จะกล่าวถึงประเด็นทั้งหมดในการเปลี่ยนแปลง แต่หากท่านเองไม่อยู่ในโปรแกรมขนาดใหญ่และสนใจในส่วนของโปรแกรมย่อยๆ สำหรับ SME และ Mid-size อย่างเดียว แนะนำให้อ่านที่บทความเฉพาะสำหรับ SME และ Mid-size นะครับ
ส่วนของการเปลี่ยนแปลงหลักของ Modern Commerce นั้น มีอยู่ 5 เรื่องใหญ่ๆ ด้วยกันได้แก่
- การปรับนโยบายการลดราคา
- การปรับเปลี่ยนการตั้งราคาผลิตภัณฑ์
- การจัดระเบียบราคากลุ่มคลาวด์ให้สอดคล้องทุกช่องทาง
- การปรับราคาสำหรับภาครัฐให้สอดคล้อง
- Microsoft 365 System Requirements for Client Connectivity
1. นโยบายการลดราคา
กลไกของการลดราคาจะเป็นการลดแบบตาม Volume การสั่งซื้อ (Sell software at scale) ซึ่งจะอิงกลไกการลดราคาบนฝั่งของคลาวด์เป็นหลัก เช่น ยึดตามการยึดมั่น (Commitment) ว่าจะต่ออายุครบปี การซื้อแบบแพ็คเกจ หรือ จำนวนปีของการสั่งซื้อ เป็นต้น
โดยโปรแกรมที่จะถูกปรับนโยบายได้แก่โปรแกรมต่อไปนี้
EA/EAS/SCE/MPSA/Select/Select Plus
- สำหรับ Level A จะไม่มี Volume discounts แต่ยังมีระดับราคาของ Level A เหมือนเดิม
- ราคาสำหรับ No Level จะมีค่าปรับสูงขึ้นประมาณ 4% จากราคาปกติ
Open/Open Value
- สำหรับ Level C จะไม่มี Volume discount และไม่มีราคาประจำ Level C แล้ว
- มีระดับราคาสูงขึ้น 2%
การปรับราคาเหล่านี้จะตอบโจทย์ลูกค้าที่สั่งซื้อแบบ on-demand เป็นครั้งๆ ไปครับ แต่ถ้ามี plan ในการสั่งซื้อระยะยาวทั้งปีที่มีงบประมาณชัดเจนแล้ว ลูกค้าจะได้รับ Offer ที่มีระดับราคาลดตาม Volume จริงๆ ที่สั่งซื้อครับ
นอกจากนี้ยังมีส่วนเพิ่มเติมในเรื่องการแสดงส่วนลดที่ชัดเจนขึ้น โดยที่จากเดิม ลูกค้าต้องให้จัดซื้อคอยติดตามราคาและต่อราคาเป็นรอบๆ ของการซื้อไป
ตอนนี้ลูกค้าจะสามารถดูมูลค่าส่วนลดได้อย่างโปร่งใสมากขึ้น สำหรับลูกค้า Direct EA Customers ที่จะเห็นมูลค่าส่วนลดในระบบการสั่งซื้อ
ลูกค้าจะได้รับ Customer Price Sheet ที่แสดง Customer Earned Price ไว้ชัดเจนว่าได้รับส่วนลดในระดับใด
โดยมีสูตรคำนวณไว้ดังนี้
Customer Earned Price = Base Price - Total Discounts
นิยามในแต่ละช่องเป็นดังต่อไปนี้
- Base Price คือราคาตลาด
- Customer Earned Discount คือส่วนลดที่เป็นไปตามโปรแกรมที่ซื้อ ตาม Level / Volume / Platform และ/หรือ การซื้อแบบ Coverage หรือแบบ Organization-wide
- Negotiated Discount คือ ส่วนลดพิเศษนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในโปรแกรมที่ซื้อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการต่อรองโดยตรงกับ Microsoft
- Customer earned Price คือ ราคารวมทั้งหมดที่ลูกค้าต้องชำระหลังจากตัดส่วนลดทั้งหมดทั้งปวงแล้วในแต่ละปี
ผลที่จะเกิดขึ้นคือการดู Volume Discount จะไม่ซับซ้อนเพราะจะหน่วงน้ำหนักการลดไปตาม Base Price ตามการสั่งซื้อจริงและนำมาคำนวณเป็น credit ส่วนลดที่แปรผันตามกัน
2. นโยบายการตั้งราคาผลิตภัณฑ์
Featured: Office 2019 Pricing !
ลูกค้าเองจะสามารถรีวิวและอัพเดทราคาจากระบบอัตโนมัติได้ (หากระบบของพาร์ทเนอร์ทำการเชื่อมต่อระบบแล้ว) การปรับราคาจะแสดงสัดส่วนของราคาสิทธิ์ของซอฟต์แวร์และส่วนเสริมมูลค่าที่เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่ซื้อและตัดลดส่วนได้เปรียบเสียบเปรียบระหว่างการเลือกซื้อแบบ per user และแบบ per device
นโยบายนี้จะมีผลโดยตรงกับราคาของ Office 2019 และ Server Products ที่จะมีการปรับระดับของราคาขายใหม่
โดยประมาณการณ์ในแต่ละราย Product จะเป็นดังต่อไปนี้
Application Products
- Office 2019 (On-premise) ขึ้น 10%
- Microsoft Project 2019 (On-premise) ขึ้น 10%
- Microsoft Visio 2019 (On-premise) ขึ้น 10%
- SharePoint Server 2019 & CAL (On-premise) ขึ้น 10%
- Exchange Server 2019 & CAL (On-premise) ขึ้น 10%
- Skype for Business Server 2019 & CAL (On-premise) ขึ้น 10%
- Project Server 2019 & CAL (On-premise) ขึ้น 10%
- CoreCAL & EntCAL suite ขึ้น 10%
System Products
- Windows Server 2019 & CAL ขึ้น 10%
- RDS User CAL ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
- RDS Device CAL ปรับราคาให้เท่ากับ per User (ประมาณ 30%)
- RDS External Connector ขึ้น 30%
รวมทั้งมีผลต่อราคาของ Windows 10 Enterprise Users และ Windows10 Enterprise Device ที่จะสอดคล้องกันมากขึ้น โดยราคาปรับใหม่ที่จะมีผลในเดือนตุลาคม 2561 เป็นดังต่อไป
- Windows 10 Enterprise E3 per User ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
- Windows 10 Enterprise E3 per Device ปรับราคาให้เท่ากับ per User (ประมาณ 20%)
- Windows 10 Enterprise E5 per Device ยกเลิกการขาย
- VDA E3 per device อยู่แล้วไม่มีจำหน่ายใน Open จึงไม่มีผลกระทบ
ในกรณีของ Windows 10 Enterprise นั้น ราคาของ E5 User กับ E5 Device จะไม่ต่างกันมาก แต่ราคาของ E3 Device จะสูงกว่า E3 User ในสัดส่วนที่คงตัว
คอนเซปต์นี้ยังปรับเช่นกันในส่วนของ VDA License ด้วย โดยมีการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้
- VDA E3 per device จะเปลี่ยนชื่อเป็น VDA
- VDA E3 per user เปลี่ยนชื่อเป็น VDA E3
- ราคา VDA จะเพิ่มขึ้นเท่า VDA E3
แต่ลูกค้ายังคงสามารถซื้อ Add-ons และ Step-up ได้ดังนี้
- สามารถซื้อ Windows 10 E3 หรือ E5 Add-on ต่อจาก Windows 10 Enterprise ได้
- สามารถซื้อ Step-up จาก Windows 10 E3 ไป E5 ได้
ในส่วนของราคาแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์นั้นสามารถสรุปการปรับราคาได้ดังต่อไปนี้
3. การปรับราคาบริการคลาวด์
ราคาสำหรับ SME และ Mid-size จะมีความคงที่มากขึ้นในการกระบวนการของการสั่งซื้อ โดยที่ราคากลางจะยึดตามราคาที่แสดงบนช่องทาง Web Direct หน้าเว็บ Store ของ microsoft.com ทั้งหมด (ไม่รวมภาษี) เพื่อใช้เป็นการอ้างอิงที่เท่าเทียมกันทั่วโลก ทุกประเทศ
ผลที่เกิดขึ้นคือ ไม่ว่าจะเช็คราคาทางช่องทางใด ราคากลางก็จะแสดงผลเหมือนกัน ในส่วนของพาร์ทเนอร์นั้น อยู่ที่ว่าจะเสนอราคาส่วนลดเท่าไร และเพิ่มมูลค่าในส่วนของ Solution Add-on อะไรเข้าไปเพื่อรักษาระดับราคาไทยบาทให้ไม่เสียสมดุลกับราคาดอลลาร์ครับ
ทางลูกค้าเองจะเห็นตัวเลือกเพิ่มมากขึ้นในแง่ของบริการที่เพิ่มเติมออกมาเป็น Value-added Add-on จากราคาฐานของตัว License อย่างชัดเจนจากพาร์ทเนอร์ที่จำหน่าย Cloud Services ในทุกช่องทางครับ
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะสั่งซื้อจากช่องทางใดราคาก็จะปรากฏเหมือนกันเช่น มูลค่า 30 เหรียญบท Microsoft Store ก็จะเห็นราคา 30 เหรียญบนช่องทางอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
4. การปรับราคาสำหรับภาครัฐ
ปกติแล้วราคา Government ใน Open License จะต่างกับราคา Commercial สูงสุดอยู่ 32% ซึ่งในปีแรกของการเปลี่ยนแปลงนี้ทาง Microsoft จะปรับขึ้นสูงสุดเพียง 20% แต่ในปีต่อๆ ไปจะปรับขึ้นเต็ม 32% ในการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ราคา Government ใน Open หลังจากนี้จะมีราคาสูงกว่า EA และ MPSA
Current GAP Price เปรียบเทียบ ราคา Government กับราคาต่ำสุดของลูกค้าเอกชน ใน Open/Open Value
โปรแกรมที่จะมีผลกระทบได้แก่ Open / Open Value / OVS MPSA, Select / Select Plus และ กลุ่ม EA / EAS / SCE
ทั้งนี้การปรับเปลี่ยนจะทำให้ระดับราคาขยับมาใกล้เคียงกันในทุกโปรแกรมรวมถึงการซื้อคลาวด์จาก CSP ด้วย ซึ่งจะทำให้มีการแข่งขันราคาในกลุ่มภาครัฐได้ทุกโปรแกรม
ในส่วนของเปอร์เซ็นต์ในการปรับเปลี่ยนที่สำคัญๆ จะเป็นดังนี้
- ในกลุ่ม Open/OV หมายถึง ราคา GOVT จะต่างกับ commercial อยู่ 32%
- ในกลุ่ม MPSA หมายถึง ราคา GOVT จะต่างกับ commercial อยู่ 0%
- ในกลุ่ม EA หมายถึง ราคา GOVT จะต่างกับ commercial อยู่ 0%
กลุ่มของ Microsoft 365 เองนั้นจะเป็นดังนี้
- ในกลุ่ม Open/OV หมายถึง ราคา GOVT จะต่างกับ commercial อยู่ 18%
- ในกลุ่ม MPSA หมายถึง ราคา GOVT จะต่างกับ commercial อยู่ 18%
- ในกลุ่ม EA หมายถึง ราคา GOVT จะต่างกับ commercial อยู่ 6%
ทีนี้ในส่วนของ Office Professional Plus ณ ปัจจุบัน หากเลือกซื้อจากคนละโปรแกรมกัน จะพบว่ามีความต่างในระดับราคาอยู่ที่ 32% แล้วแต่ว่าลูกค้าเลือกที่ Channel ใด แต่สำหรับนโยบายใหม่ทุกช่องทางจะปรับมาเท่ากันหมดเป็น Base Price ไม่แยก Government หรือ Commercial โดยเรียกเป็น Base Price เดียวกัน และบวกอัตราการเติบโตและความสามารถใหม่ๆ เข้าไปทำให้ค่า License มีราคาสูงขึ้น 10% แต่ในปี 2018-2019 นี้ทาง Microsoft ควบคุมไว้ไม่ให้เกิน 20% ในความต่าง
ในส่วนของ RDS Device CAL จะมีราคาสูงขึ้น 30% และความคุมความแปรผันของราคาในแต่ละ Channel อยู่ที่ 30%
5. Microsoft 365 System Requirements for Client Connectivity
ในช่วงเดือนเมษายน 2560 ทาง Microsoft มีประกาศถึง End-customer เรื่องการใช้ Office Desktop Client เชื่อมต่อใช้งาน Cloud services ใน Microsoft 365 ว่าในการเชื่อมต่อ Office Desktop Client เข้าใช้งาน บริการของ Microsoft 365 ทั้ง Exchange Online, SharePoint Online, Skype for Business Online หลังจากนี้เป็นต้นไป ตัว Office Desktop Client ที่ใช้จะต้อง อยู่ใน Mainstream Support (ปกติมีอายุ 5 ปี) หรือเป็น Professional Plus Edition
ประกาศนี้จะมีผลกระทบกับลูกค้าที่ใช้งาน Office 2016 และเวอร์ชั่นก่อนหน้า ที่ไม่ได้เป็น Professional Plus edition โดยภายใน October 2020 จะไม่สามารถเชื่อมต่อใช้งานบริการของ Microsoft 365 ได้ เนื่องจากสิ้นสุด Mainstream Support
และในส่วนของ Office 2019 เองที่จะประกาศเริ่มขาย October 2018 ก็จะสิ้นสุด Mainstream Support ตอน October 2023
ทางเลือกของลูกค้าเพื่อเลี่ยงปัญหานี้ คือ แทนที่จะมาซื้อแบบ Perpetual แบบซื้อขาด แนะนำให้พิจารณาซื้อแบบ Microsoft 365 Plan หรือเปลี่ยน Plan เป็น Premium หรือ E3 ขึ้นไปเพราะว่ามี Office Desktop Client หรือหากยังคงต้องการซื้อขาดจริงๆ แนะนำให้เป็น Professional Plus Edition เท่านั้น เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับบริการคลาวด์ได้
----------------------------------------------
Customer Choices
ทางเลือกสำหรับลูกค้าเองเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่มีต่อการปรับเปลี่ยนราคาในครั้งนี้คือโซลูชั่นดังต่อไปนี้
- วางแผนการจัดซื้อซอฟต์แวร์ใหม่เป็นแบบรายปี - เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการจัดซื้อเป้นรายครั้ง เนื่องจากราคาที่ถีบตัวขึ้นนี้เป็นการปรับตาม Estimated Retail Price ซึ่งเป็นราคาที่ตั้งไว้สำหรับการจัดซื้อเป็นครั้งๆ ไป หากลูกค้ามีการทำ Software Asset Management (SAM) ที่ดีพอ และสามารถประเมินได้ว่าในแต่ละปี มีความต้องการจัดซื้อซอฟต์แวร์ในปริมาณเท่าไร จะสามารถสั่งซื้อในระดับราคาที่มีส่วนลดชัดเจนได้ (รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SAM)
- ใช้งาน Office 2019 ผ่าน Microsoft 365 - เนื่องจากราคาเช่าใช้รายปีของ Microsoft 365 มีระดับราคาเฉลี่ยต่ำกว่าการสั่งซื้อขาดประมาณ 30% เทียบกับการสั่งซื้อซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่ทุกรอบ 3 ปี แถม Microsoft 365 ยังเป็นสิทธิ์แบบ Per User และสามารถลงได้ 5 เครื่องใน User เดียวกัน ทำให้บริหารจัดการสิทธิ์ตามจำนวนของพนักงานได้ชัดเจนยิ่งขึ้น (เช็คราคา Microsoft 365 - Business)
- ใช้งาน Office 2019 ผ่านสิทธิ์การใช้งาน SPLA - เนื่องจาก Microsoft Office สามารถจัดซื้อผ่าน Reseller ในแบบเช่าใช้ที่ Server ของ Reseller ได้ ลูกค้าจึงสามารถเลือกซื้อแบบรายเดือนและโฮสตื Microsoft Office ไว้ที่ Server ของ Netway ได้ โดยอ้างอิงที่ SKU สองตัวนี้ในการสั่งซื้อครับ
- มองหาโซลูชั่นอื่น เช่น G Suite หรือ WPS - ทั้งสองค่ายมีทางออกที่แตกต่างกัน โดย G Suite เองเน้นที่การทำงานผ่าน Browser แต่การใช้งานสำหรับ User ต้องอาศัยการเทรนนิ่งอยู่พอสมควร ส่วน WPS เองเป็น Open Source แต่ก็มี Business Edition เช่นกัน การสั่งซื้อในไทยเองก็สามารถขอใบกำกับภาษีได้แล้ว แต่ WPS ไม่ได้มีเรื่องของ Email ที่เด่นเท่าไรเท่า Google แต่หากลูกค้าท่านในสนใจก็สามารถติดต่อได้ (รายละเอียดเกี่ยวกับ G Suite)